วัดหลวงพ่ออี๋ หรือ ที่ชาวสัตหีบเรียกว่า หลวงปู่อี๋ พระสมณะเกจิอาจารย์ชื่อดังเป็นที่เคารพสักการะของชาวสัตหีบ นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศจึงเดินทางมาสักการะท่านเพื่อเป็นสิริมงคล และให้เกิดสวัสดิภาพตลอดการเดินทางมาเที่ยวในพื้นที่สัตหีบ
วัดหลวงพ่ออี๋ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "วัดสัตหีบ" ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันตกของตลาดสัตหีบ มีประตูทางเข้า ทางด้านถนนเลียบชายทะเล ทางด้านถนนเทศบาล 9 นักท่องเที่ยวที่มาสักการะบูชาหลวงพ่ออี๋ สามารถจอดรถภายในบริเวณวัดได้ มีที่จอดรถกว้างขวาง ภายในบริเวณวัดมีพระอุโบสถ เจดีย์ทองคำ และ มีบริการนวดแผนโบราณให้สำหรับผู้ที่ต้องการนวดคลายเส้น นวดรักษาอาการ
หลวงพ่ออี๋ ในท้องถิ่น อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ท่านดังเรื่องปลัดขิก ลูกศิษย์ของท่านที่เป็นทหารเรือ และชาวประมงมีมากมาย เขาพากันเรียกปลัดขิกของท่านว่า ปลัดฉลามเมิน (เพราะเคยมีคนพกปลัดของท่าน ลอยคออยู่กลางดงฉลามแล้วรอดมาได้) แต่ความจริงท่านไม่ได้เก่งเรื่องนี้อย่างเดียว แต่คนจดจำได้แม่นในเรื่องนี้เพราะมีอภินิหารมาก (กรุณาอย่าว่า กระผมเป็นคนหยาบโลน ที่นำเรื่องนี้มาเรียนเสนอเลยนะครับ เพราะถ้าจะกล่าวถึงหลวงพ่ออี๋ แล้วไม่กล่าวถึงเรื่อง ปลัดขิกของท่าน มันก็คงจะไม่สมบูรณ์ ขอความกรุณาอ่านเป็นความรู้ก็แล้วกันครับ และไหนๆ จะว่ากันแล้ว ก็จะขอเล่าถึงประวัติความเป็นมาของ “ปลัดขิก” เพื่อเป็นความรู้ในโอกาสต่อไป)
หลวงพ่ออี๋ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ ณ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โยมบิดาของท่านชื่อ ขำ ทองขำ โยมมารดาชื่อ เอียง ทองขำ หลวงพ่ออี๋เป็นบุตรชายคนโต ได้รับการศึกษา และอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลบุตรที่ดี เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง
บิดาของท่านรับราชการ ตำแหน่งที่ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่า “นายกอง” ในปี๒๔๓๓ ท่านมีอายุ ๒๕ ปีได้บรรพชาอุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก โดยมีพระอาจารย์จั่น จันทสโร วัดเสม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระศาสนาว่า “พุทธสโร ภิกขุ” แปลว่า “ผู้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า”
หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว หลวงพ่ออี๋ได้อยู่เรียนวิชาการ และศึกษาพระธรรม กับ พระอาจารย์แดง วัดอ่างศิลานอก ซึ่งเป็นพระเถระที่มีภูมิธรรมสูง ทั้งยังมีวิชาอาคม แก้อาถรรพ์คุณไสย ตลอดถึงการสักยันต์ พระอาจารย์จั่น พระอาจารย์แดง และพระอาจารย์เหมือน ได้สอนศาสตร์วิชาต่างๆ ให้แก่ลูกศิษย์ของท่านจนหมดสิ้น เป็นเวลา ๖ พรรษาเต็มๆ การที่หลวงพ่ออี๋ ท่านมุมานะศึกษาเล่าเรียน จุดประสงค์ก็เพื่อจะนำมาสงเคราะห์ ญาติโยม ชาวบ้านผู้เดือดร้อนโดยทั่วไป
ต่อมาท่านได้ยินกิตติศัพท์ ของพระอาจารย์สำคัญ อีกองค์หนึ่ง คือพระครูนิโรธาจารย์ หรือ หลวงพ่อปานแห่งวัดคลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ซึ่งท่านเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางด้านสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ถือธุดงควัตร ท่านเป็นพระภิกษุที่พระเจ้าอยู่หัว ร.๕ ทรงพระศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก อีกองค์หนึ่ง ภายหลังจากหลวงพ่อปานได้รับตัวเป็นศิษย์แล้ว ท่านก็ได้อบรมและทดสอบจิตใจว่ามั่นคงดีแล้ว ก็พาออกป่าไปเรียนรู้ความจริงของธรรมะ เพราะจิตใจจะได้กล้าแข็ง แข็งแกร่งกล้าหาญเมื่อเผชิญภัยในป่าลึก
หลวงพ่ออี๋แม้ว่าท่านจะมีรูปร่าง บอบบาง แต่ด้วยความมานะพากเพียรเป็นเลิศ หลวงปานจึงประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้หลวงพ่ออี๋จนหมดสิ้น
ท่านพระครูศรีสัตคุณ เจ้าอาวาส วัดสัตหีบ ได้เล่าให้ฟังว่า
สมัยที่หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านได้ติดตามหลวงพ่อปาน เดินธุดงค์ ไปถึงพระพุทธบาท สระบุรี เพื่อจักนมัสการรอยพระพุทธบาทที่นั่น ขณะผ่านไปนั้น หลวงพ่ออี๋ได้ทำสมาธิ เห็นพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันต์ธาตุ ประดิษฐานอยู่ใต้ก้นเหวลึก ในแถบจังหวัดสระบุรีนั่นเอง และได้เรียนให้หลวงพ่อปานทราบ ท่านจึงให้ไปอัญเชิญขึ้นมาจากก้นเหวนั้น เพื่อนำไปประดิษฐานในสถานที่อันสมควรต่อไป
หลวงพ่ออี๋ ได้ลงไปยังก้นเหว ด้วยการใช้ไม้ไผ่ ๓ ลำ ต่อลูกสลักทำเป็นขั้นบันได ผูกมัดแน่นหนา แล้วก็ไต่ลงไปจนถึงก้นเหวลึก และอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันต์ธาตุ ขึ้นมาได้สำเร็จ หลวงพ่อปานมีความพึงพอใจในตัวของลูกศิษย์เป็นอันมาก เพราะขณะนั้นหลวงพ่ออี๋ บวชได้เพียง ๕ พรรษา เท่านั้น คณะพระธุดงค์เมื่อได้นมัสการพระพุทธบาทแล้ว ก็ออกเดินธุดงค์ต่อไป เพื่อหาประสบการณ์
ต่อมาหลวงพ่ออี๋ได้กราบลาพระอาจารย์ ออกเดินธุดงค์กรรมฐานด้วยตนเอง ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐาน ถือการเดินธุดงค์เป็นวัตร ท่านเดินธุดงค์ไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก และภาคอีสาน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เหตุการณ์ระหว่างการธุดงค์ของท่าน ไม่ได้รับการถ่ายทอดบอกเล่าจากท่าน และบรรดาลูกศิษย์ก็ไม่ได้สนใจไต่ถามแต่อย่างใด ทำให้เราไม่ทราบอะไรมากนักในเรื่องของการธุดงค์ของหลวงพ่อ
หลวงพ่ออี๋ไม่ได้กลับบ้านเลย เป็นเวลา ๑๑ พรรษา เพื่อเล่าเรียนวิชาต่างๆ จนพอสมควรแล้ว ท่านจึงได้กราบลาหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน กลับไป อำเภอสัตหีบ เมื่อไปถึงบ้าน โยมบิดาได้นิมนต์ให้ท่านอยู่เสียในที่สงบแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ชายทะเล ปลูกกระต๊อบเล็กๆ ให้อยู่ปฏิบัติภาวนาธรรม และได้เห็นปฏิปทาของพระลูกชาย ดูน่าเลื่อมใสศรัทธา จึงคิดว่าท่านคงไม่สึกหาลาเพศเป็นแน่
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๐ โยมบิดาของท่านมีโอกาส ไปกรุงเทพฯ และได้เข้าไปยังสำนัก พระบรมมหาราชวังด้วย ได้มีโอกาสกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) เพื่อขอพระบรมราชานุญาต สร้างวัดสัตหีบ ภายในบริเวณที่ดินว่างเปล่า เมื่อได้รับพระกรุณา โยมบิดาแสนจะดีใจ รีบเดินทางกลับมานมัสการให้พระลูกชายทราบ
ช่วงปี พ.ศ.๒๔๕๐ – ๒๔๕๑ หลวงพ่ออี๋ โยมบิดา ตลอดถึงชาวบ้าน ได้ทำการก่อสร้างวัด โดยไปหาไม้สวยๆ ในบริเวณใกล้เคียง มาทำเสา ทำฝา และหาดินเหนียวที่บางปะกง ไปเผาทำกระเบื้องมุงหลังคา การสร้างวัดของท่าน ไม่ถึง ๕ ปีก็แล้วเสร็จ เว้น พระอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญ มีการสร้าง ในเวลาต่อๆ มา และได้วิสุงคามสีมา ในปีพ.ศ. ๒๔๖๓ ในปีที่หลวงพ่ออี๋ท่านสร้างวัดใหม่ๆ นั้น กิตติศัพท์ของท่าน ได้ขจรขจายไป ในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหาร ผู้คนพากันหลั่งไหลไปมากมาย มีทั้งที่ต้องการฟังธรรมะ และ การปฏิบัติสมาธิกับท่าน บางคนต้องการวัตถุมงคล ก็ได้สมความปรารถนาทุกประการ
ต่อมา หลวงพ่ออี๋ท่านก็ยังออกรุกขมูลอยู่เป็นประจำ เหมือนครูบาอาจารย์ของท่าน และนี่เองเป็นมูลเหตุ ในการสร้างปลัดขิกของท่าน
แต่ก่อนอื่นกระผมขอเล่าถึง กำเนิดความเป็นมาของ “ปลัดขิก” (ซึ่งกระผมขอเรียกสั้นๆ ว่า “ปลัด”) เสียก่อน
ราว ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล ชนชาติหนึ่งในโลกตะวันตก ต่างพากันนับถือ และบูชาพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว และ พระเพลิง ถือว่าเป็นผู้ให้พลังงาน และเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต ต่อมา ชนชาติหนึ่งใน อัฟกานิสถาน และ ธิเบต ชื่อว่า อริยะ ได้เดินทางติดต่อค้าขายกัน และรับเอามาดัดแปลงเป็นศาสนาของตน กาลเวลาผ่านไป ก็ได้มีการจัดสร้างเครื่องหมายแทนเทพเจ้า พระอาทิตย์ และพระจันทร์ เพื่อให้มหาชนเคารพบูชา จึงได้จัดสร้างรูปพระอาทิตย์ และพระจันทร์ขึ้น ประดิษฐานไว้บนปลายเสา ตั้งเอาไว้กลางพระวิหาร (กษัตริย์ที่สร้าง ชื่อ พระศิวะอุมากษัตริย์ แห่งสุสะประเทศ) ชนทั้งหลายจึงเรียกว่า เสาพระอาทิตย์ พระจันทร์ ของพระศิวะ
ขณะนั้นศาสนาพราหมณ์ น่าจะเกิดขึ้นแล้ว และ รูปแท่งหินนั้น ได้ถูกเรียกกันต่อมาว่า “ศิวลึงค์” ซึ่งทางศาสนาพราหมณ์ เขาถือว่าเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ ต่อมาพราหมณ์ผู้มี “ลึงค์ศาสนา” เป็นสรณะนี้ ได้จำลองศิวลึงค์เป็นรูปเล็กๆ เพื่อนำติดตัวเป็นเครื่องระลึกถึงพระศิวะบนสวรรค์ ถือเป็นวัตถุป้องกันเสนียดจัญไร ต่อมา คณาจารย์ทั้งหลาย ได้เปลี่ยนนามเสียใหม่ว่า “ปรัศว์” (ปรัศวะ คือ ข้าง) ผู้อยู่เคียงข้าง และโดยที่มีรูปสัณฐานคล้ายลึงค์ และ มีผู้เห็นผูกกับเอวเด็ก เล็กๆ ก็เกิด อาการขบขัน น่าหัวเราะ เลยมีการเรียกเพี้ยนเป็น “ปลัดขิก” ในเวลาต่อมา (ใครเห็น เป็นต้องหัวเราะคิกๆ นั่นเอง)
กระผมขอออกนอกเรื่อง สักนิดนะครับ... กระผมรู้จักเครื่องรางประเภทนี้ เป็นครั้งแรก เมื่อสมัยทำงานอยู่ บริษัทญี่ปุ่น แถวๆ รังสิต เพราะความที่สนิทกับพี่ พนักงานขับรถของบริษัทฯ ซึ่งแกชอบเสาะหาพระอาจารย์ขลัง ทำให้กระผมได้มีโอกาสติดรถไปกราบพระอาจารย์ดังๆ แถวจังหวัดปทุมธานี เช่น หลวงปู่ไปล่ วัดดาวเรือง หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ (ลูกศิษย์ หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์) หลวงพ่ออำภา วัดน้ำวน (องค์นี้เก่งเรื่องต่อกระดูก) หลวงปู่เส็ง วัดบางนา (หลานหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์) หลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน หลวงปู่เทียม วัดลาดหลุมแก้ว ฯลฯ
อย่างหลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน นี่อยู่ อ.ลำลูกกา ท่านดังทางด้านปลัด เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าท่านเป็นศิษย์หลวงพ่ออี๋หรือไม่ เนื่องจากแถว อ.ลำลูกกา สมัยก่อน ชาวบ้านมีอาชีพทำนา และงูเห่าชุกชุมมาก วัดที่หลวงปู่เมฆจำพรรษาอยู่ในสมัยนั้น เหมือนอยู่ในป่าดง ทางเข้าวัดเป็นดินลูกรัง และขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อมาก ความจริงก็น่าเห็นใจท่านมาก เพราะแถบนั้นมีชาวมุสลิมอยู่มาก แต่ชาวมุสลิมเหล่านี้ใส่บาตรหลวงปู่เมฆ สาเหตุก็เพราะ ท่านทำปลัดแจก และ ปลัดนั้นกันงูและสัตว์มีพิษต่างๆ ได้
พนักงานหญิงที่บริษัทคนหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้วัดลำกระดาน เล่าให้ฟังว่า เด็กเล็กๆ แถวนั้นไม่กลัวงูเลย เวลาเจอลูกงูเห่า จะตีให้หลังหักแล้วนำมาเล่น (บรื๋อ... ลูกงูเห่านี่ กัดตายนะครับ) คือเอาไม้แหย่ให้มันแผ่พังพาน แล้วก็เอาปลัดของหลวงปู่เมฆ แหย่อีกครั้งหนึ่ง งูก็จะหมอบลงไป เล่นอย่างนี้จนเบื่อ ก็จะทุบหัวแล้วโยนทิ้งไป (..โหดน่าดู..) เมื่อกระผมทำหน้าไม่เชื่อ เธอก็จ้องตา ย้ำคำยืนยันหนักแน่น ว่าเป็นความจริง
กระผมเคยไปกราบหลวงปู่ครั้งแรก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไปถึงก็เห็นว่าวัดท่านมีโบสถ์แล้ว กำลังก่อสร้างเมรุ แต่กุฏิที่ท่านอยู่นั้นเก่ามาก จะพังมิพังแหล่ ใต้ถุนกุฏิเหมือนเป็นโรงงานเล็กๆ มีชาวบ้านช่วยกันเหลา กลึง ขัด ปลัดขนาดต่างๆ อยู่ ปลัดของท่านทำจากไม้เขยตาย ซึ่งกระผมไม่ทราบความหมาย เข้าใจว่าเป็นชื่อของพันธุ์ไม้
เมื่อขึ้นไปบนกุฏิของท่าน ปรากฏว่าท่านหลับ คือนั่งหลับไปเฉยๆ เข้าใจว่าร่างกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรง และต้องตรากตรำปลุกเสกปลัด จนดึกจนดื่นทุกคืน ระหว่างนั้นก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเพิ่งมาถึง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง คงจะมาด้วยรถมอเตอร์ไซด์ กระผมก็เลยชวนพ่อหนุ่มคุย ระหว่างที่รอหลวงปู่ ปรากฏว่าแกเอาปลัดตัวเก่า มาขอเปลี่ยน เนื่องจากแกเอาไปตอกตะปู เพื่อใส่เชือกร้อยเอวเส้นใหญ่ขึ้น แล้วเกิดรอยแตกร้าว แกเล่าว่านับถือหลวงปู่มาก เพราะเคยโดนคู่อริยิง ขณะขับรถมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน ปรากฏว่ายิงไม่ออก แกก็ตกใจจนรถแฉลบลงข้างทาง แต่ก็แค่บาดเจ็บนิดหน่อย... นี่เป็นประสบการณ์ที่ได้รับฟังมา กับตัวเองยังไม่เคยเจอเลยครับ
เมื่อได้พบกับท่าน ท่านเป็นคนโผงผาง เรียกว่าเป็นพระ แบบบู๊ ไม่ใช่บุ๋น ท่านเคยเป็นทหารผ่านศึก ที่หน้าอกของท่านเป็นรอยบุ๋มลึก ท่านเล่าว่าโดนหัวกระสุนปืนใหญ่ สลบไปหลายวัน แต่ไม่มีบาดแผล และกระดูกก็ไม่หัก แสดงว่าสมัยหนุ่มๆ ท่านมีวิชาอาคมใช้ได้เหมือนกัน ท่านไม่ได้สนใจเงินทอง กระผมเอาเงินใส่ซองร่วมทำบุญกับท่าน ท่านก็หยิบปลัดมาให้ ๙-๑๐ ตัว ท่านไม่รู้หรอกว่าเราถวายเงินเท่าไร ใครไปท่านก็ให้อย่างนั้น
กระผมมีโอกาสไปหลายครั้ง แต่ได้มาก็มีคนมาขอ เห็นเขาว่าค้าขายดี ตอนนี้เหลืออยู่สัก ๒ ตัวเห็นจะได้ครับ
มีผู้หญิงใช้ปลัดของท่านเหมือนกัน คือมีเรื่องเล่าว่า สาวคนหนึ่งคาดไว้กับตัว แล้วแกไปโดนจี้ในที่เปลี่ยว อ้ายโจรนั่นเห็นเป็นเด็กสาว ก็ปลุกปล้ำด้วย หญิงสาวเห็นจวนตัว ก็นึกขอให้ “ปลัด” ช่วย ปรากฏว่าเมื่อถอดเสื้อผ้ามา โจรเห็นเป็นผู้ชายไป เลยเปิดแน่บ เรื่องนี้บอกเล่ากันไป ปากต่อปาก ทำให้สาวๆ ไม่ว่าโสดหรือไม่โสด ในบริษัท พากันพกปลัดของหลวงปู่กันหน้าตาเฉย... ทำให้ปลัดที่กระผมได้มา หมดไปโดยรวดเร็ว เรื่องของหลวงปู่ยังมีอีก แต่พอเท่านี้ก่อนดีกว่านะครับ กลับมาเรื่องของหลวงพ่ออี๋ ต่อไป...
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่ออี๋เดินทางไปรุกขมูล ท่านได้พบบ่อน้ำแห่งหนึ่ง จึงได้หยุดพักปักกลด เพื่อโปรดทายกทายิกา ในระหว่างนั้น ท่านได้ไปนั่งมองดูบ่อน้ำทุกวัน เพราะหลวงพ่อได้เห็นปลัด ผุดขึ้นมาจากผิวน้ำ เหมือนปลาผุดขึ้นมาหายใจ หลวงพ่อพยายามช้อนปลัด ก็ช้อนไม่ติดสักอัน (ท่านคงมีความรู้จากตำรา ที่ได้เคยศึกษามา) ในขณะที่กำลังช้อนอยู่นั้น มีโยมแก่คนหนึ่งเดินมาถามหลวงพ่อว่า “ทำอะไร” หลวงพ่อตอบว่า “ช้อนปลัดขิก” โยมแก่คนนั้นก็หัวเราะ และพูดว่า “อย่าช้อนเลย ท่านช้อนไม่ได้ดอก ถ้าท่านอยากได้จริงๆ ก็ให้หาหญิงพรหมจารีมาช้อน จึงจะช้อนได้” หลวงพ่อก็ได้เที่ยวตามหาหญิงพรหมจารี มาได้คนหนึ่ง ได้ขอให้หญิงพรหมจารีนั้นช้อนปลัดให้หลวงพ่อ หญิงนั้นก็ช้อนให้หลวงพ่ออันหนึ่ง ถึงแม้จะพยายามช้อนอันที่สองก็ช้อนไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อได้ปลัดแล้ว ก็เดินทางกลับวัด
ขณะที่อยู่วัด ท่านพยายามหาวิธีสร้างปลัด โดยจำลองจากที่ท่านได้มา ในการสร้างครั้งแรก เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องสร้างขึ้นถึง ๑๐๘ ตัว เพื่อคัดเลือกหัวโจก หรือจ่าฝูง ครั้นได้จ่าฝูงมาแล้ว การสร้างครั้งต่อไปไม่จำเป็นต้องจำกัดจำนวน ที่ว่าจ่าฝูงนั้น ก็คือตัวที่บินเก่งที่สุด และมันชอบนำลูกฝูงบินเป็นการสมานตัวของพลังปราณ
(ฟังดูเป็นเรื่อง ไม่น่าเชื่อ แต่กระผมมีเกร็ด ที่จะเล่าให้ท่านฟังอีก คือเมื่อหลายปีก่อน กระผมได้ไปงานเลี้ยงรุ่น สมัยที่เรียนมัธยมปลาย ก็มีเพื่อนๆ หลายคนที่เป็นทหาร เหล่าทัพต่างๆ มานั่งคุยกัน พอดีเขาชอบพระเครื่อง ต่างคนต่างก็นำขึ้นมาอวดกัน เจ้าคนที่เป็นนักบินทหารบก ก็คุยเรื่องมหัศจรรย์ให้ฟังว่า นักบินรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาขับเครื่องบินผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปรากฏว่ามีอะไร มากระทบกระจกห้องนักบิน ดังก๊อกแก๊กๆ (เขาขับเครื่องบินขนส่ง หรือ เฮลิคอปเตอร์ กระผมก็ไม่แน่ใจ) ตอนแรกนึกว่าเป็น นก หรือแมลง แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆ ก็ตกใจ เพราะมันคือ ปลัดขิก จำนวนหลายตัว บินแข่งไปกับเครื่องบิน
เมื่อเขานำเครื่องลงที่สนามกองบินแล้ว ก็ได้พยายามซักถาม คนท้องถิ่น ถึงพระอาจารย์เก่งๆ แถวๆ ที่เขาขับเครื่องบินผ่าน ปรากฏว่า คือหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ซึ่งท่านมีชื่อเสียงมาก ทางสร้างปลัด (ท่านเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่ออี๋ หรือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงกกระผมก็ไม่แน่ใจ) เมื่อกระผมทำหน้าไม่เชื่อ ว่าจะเป็นไปได้ เขาก็ไปพาภรรยา(ซึ่งคุยอยู่อีกกลุ่ม) มายืนยันอีกคน เธอบอกว่าเคยไปกราบท่าน และได้เห็นท่านปลุกเสกจนปลัดนั้นกระโดดออกจากมือท่าน ด้วยตาตนเอง แต่ไปขอให้ท่านทำตรงๆ ท่านไม่ทำให้ดู จะต้องทำเหมือนจะรับ แล้วหดมือกลับ เหมือนกล้าๆ กลัวๆ นั่นแหละ ท่านปลุกเสกปลัดกระโดดเลย หลวงพ่อยิดนี่ท่านมีอะไรพิเศษหลายอย่าง ตอนหนุ่มๆ ท่านชอบเดินธุดงค์ และ ปีหนึ่ง ท่านสรงน้ำเพียงครั้งเดียว (เหมือนหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี) โดยที่ร่างกายของท่านไม่มีกลิ่นเหม็นเลย ในวันเกิด ศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นทหาร-ตำรวจ และประชาชนจำนวนมาก จะพากันมาสรงน้ำท่านในวันนั้น และ ใช้แปรงทองเหลืองขัดถูร่างกายของท่าน ท่านก็ยิ้มเฉยๆ ไม่ว่าอะไร แสดงว่าเรื่องคงกระพัน ท่านก็ไม่เป็นสองรองใคร)
เมื่อได้ปลัดขิกตัวจ่าฝูงแล้ว อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อจึงได้นำปลัดขิกมาทดลองในบ่อน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณวัด ปลัดขิกของท่านได้วิ่งอยู่บนผิวน้ำ สั่งให้จมน้ำปลัดขิกของท่านก็จมน้ำ สั่งให้โผล่ก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ทำความประหลาดใจให้แก่พระภิกษุและญาติโยมมาก นับตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงของหลวงพ่ออี๋ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป การปลุกเสกนั้น หลวงพ่ออี๋จะนำปลัดทั้งหมดใส่ลงในบาตร ปลุกเสกจนวิ่งเกรียวกราว และต้องกระโดดออกมาจากบาตรอีกด้วย จึงจะถือว่าขลังและใช้การได้ จึงจะทำการแจกแก่ลูกศิษย์ลูกหา อันว่าปลัดหลวงพ่ออี๋นี้ มีสรรพคุณมากมายหลายประการ ใช้ผูกเอวป้องกันเขี้ยวงาสารพัด ป้องกันเสนียดจัญไร โรคภัยไข้เจ็บ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม คลาดแคล้วจากภยันตรายทั้งปวง ดังประสบการณ์ จากผู้ที่มีปลัดหลวงพ่ออี๋ อยู่ในครอบครอง ซัก ๒-๓ เรื่อง ดังนี้
วิ่งแข่งกับเรือ
ครั้งหนึ่งมีงานฉลองกุฏิที่วัด บรรดาสาวแก่แม่ค้าชาวสัตหีบที่มีศรัทธาปสาทะ ก็มาช่วยงานโรงครัวหรือไม่ก็งานเบ็ดเตล็ด ครั้นเสร็จงานหลวงพ่อก็หาของที่ระลึกมาแจก โดยท่านห่อกระดาษไว้ บอกให้ไปแกะดูที่บ้าน ปรากฏว่าแม่ครัวเหล่านั้นมาถึงกลางทาง อยากรู้จนอดใจไม่ได้ ก็แกะห่อออกดู เห็นเป็นปลัดขิกแกะจากแก่นกัลปังหาตัวเล็กๆ น่ารัก น่าเอ็นดู แจกให้เพียงคนละตัว ทำให้บรรดาสาวแก่แม่นางเหล่านั้น หัวเราะกันคิกคักด้วยความเหนียมอาย ก็พากันโยนลงทะเลหมด แต่ปลัด ของวิเศษ คิดว่าเขาท้าแข่ง ก็เลยว่ายแข่งไปกับเรือไม่ยอมแพ้ จนเป็นเหตุให้สาวแก่แม่นางเกิดความเสียดาย ต้องหยุดเรือเก็บไว้อย่างเดิม ทั้งเกิดการตื่นเต้นในอภินิหาร ซึ่งไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน
ควายขวิดไม่เข้า
ครูบุญช่วย รร.วัดสัตหีบ ได้ปลัดหลวงพ่อมา มักไม่ชอบนำติดตัว ได้เก็บไว้ที่บ้าน พอตกกลางคืนเวลาดึกสงัดจะมีเสียงเหมือนคนเดินอยู่เสมอก็นึกว่าขโมยขึ้นบ้าน จึงได้ลุกขึ้นคอยนั่งจับขโมย แต่ก็มองไม่เห็นมีขโมยสักคน นอกจากเสียงฝีเท้าคนเดิน ใจหนึ่งก็กลัวนึกว่าผีหลอก จึงตัดสินใจฉายไฟดู ก็ไม่พบเห็นอะไร นอกจากปลัดวางอยู่ข้างหน้า ห่างประมาณ ๑ ศอก จึงหยิบขึ้นมาแล้วนำไปไว้ใต้หมอนหนุนศีรษะ รุ่งเช้าครูบุญช่วยจึงได้นำปลัดติดตัวไปโรงเรียนด้วย ในระหว่างเดินมาตามทาง เห็นควายสองตัวกำลังขวิดกันอยู่ในทุ่งนา ที่จะต้องเดินผ่าน พอดีควายตัวหนึ่งวิ่งหนี อีกตัวก็ไล่ขวิด ตัวที่ไล่แลเห็นครูบุญช่วยมายืนขวางหน้า ก็ตรงรี่เข้าขวิดครูบุญช่วยจนกระทั่งล้มลง แล้วก็เข้ามาขวิดอีกจนครูบุญช่วยกลิ้งไปกลิ้งมา ตามแรงเขาควายที่ขวิด จนเสื้อกางเกงขาดหมด เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและดิน ครูบุญช่วยจึงร้องขอความช่วยเหลือ จากชาวบ้านแถวนั้น มาช่วยไล่ควายให้หนีไป แต่น่าอัศจรรย์ที่ตัวครูบุญช่วย ไม่ได้มีบาดแผลจากเขาควายตัวนั้นเลย
อีกเรื่องหนึ่ง
คุณสำราญ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง ได้ปลัดมาจากหลวงพ่อ ไว้ใช้ติดตัวเพื่อป้องกันอันตราย วันหนึ่งได้ชวนพวกเพื่อนๆ มานั่งคุยที่หน้าบ้าน เพื่อนคนหนึ่งก็ชักปืนขึ้นมาล้อเล่น เผอิญปากกระบอกปืนหันมาตรงหน้าคุณสำราญพอดี เพื่อนอีกคนหนึ่งก็ปัดปืนไป เพื่อไม่ให้เอามาล้อเล่นกัน ในขณะที่ปัดปืนนั้นเสียงปืนก็ดังปังขึ้น กระสุนถูกหน้าอกคุณสำราญอย่างจังถึงกับตัวงอ คุณสำราญเอามือกุมหน้าอกด้วยความเจ็บ เมื่อเพื่อนๆ เข้ามาช่วยเหลือไม่เห็นมีเลือดออกมาเลย นอกจากรอยถูกปืนที่หน้าอกเสื้อเท่านั้น เมื่อถูกสอบถามจากบรรดาเพื่อนๆ ว่ามีของดีอะไร คุณสำราญไม่บอก แต่ควักปลัดของหลวงพ่ออี๋ให้ดู
แคล้วคลาด
นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้เล่าว่าเมื่อครั้งยังประจำการอยู่ที่สัตหีบ ได้ขับรถมาบ้านในกทม. ในระหว่างขับรถมาตามทาง ได้ถูกรถบรรทุกพุ่งชนท้ายรถอย่างแรง รถเลยเสียหลักการทรงตัว ได้พลิกคว่ำลงข้างทางหลายตลบ รถพังยับเยินใช้การไม่ได้ ตัวเองหน้าอกได้กระแทกกับพวงมาลัย สลบไป คนขับรถบรรทุก ไม่ได้ช่วยเหลือ กลับขับหนีไป ชาวบ้านต้องพากันมาช่วย นำตัวออกมาทางกระจกหน้ารถ เพราะประตูรถใช้การไม่ได้ เมื่อฟื้นจากสลบก็คลำหน้าอก เนื้อตัวไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย ท่านกล่าวว่า “ทั้งเนื้อ ทั้งตัว ผมมีปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ ห้อยคออยู่เพียงอันเดียว”
วัดสัตหีบ ในอดีต เป็นแหล่งธรรม และยังเป็นสถานที่ให้ความร่มเย็นแก่ญาติโยม ผู้เดินทางมาพึ่งพาอาศัย คนป่วยจากจังหวัดต่างๆ ได้รอนแรมมาเพื่ออาศัยอิทธิบุญบารมี ของหลวงพ่ออี๋ ได้ช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ให้ ด้วยอำนาจแห่ง อภิญญาญาณของท่าน ก็สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้เจ็บป่วย ให้หายวันหายคืนจนกลับสู่บ้านเรือนของตนได้ รวมทั้งคนเจ็บป่วยที่ต้องคุณไสยร้ายแรง หลวงพ่อท่านก็ช่วยปัดเป่าให้รอดชีวิตกลับไปได้ จึงเป็นที่เลื่องลือในหมู่ชนทั่วไป
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ อำเภอสัตหีบ คือที่มั่นของกองทัพเรือ และเป็นจุดสำคัญแห่งหนึ่ง จึงเป็นที่หมายของข้าศึก บรรดาชาวบ้านโดยทั่วไป ต่างก็ยึดเอาตัวของ หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร เป็นที่พึ่ง วันหนึ่งๆ ชาวบ้าน และผู้คนในอำเภอสัตหีบ จะมาหลบภัยอยู่ในวัดสัตหีบกันจนหมดสิ้น ด้วยเกรงว่าข้าศึกจะมาทิ้งระเบิด ปรากฏว่า เครื่องบินฝ่ายพันธมิตร ได้นำระเบิดมาทิ้งที่สัตหีบถึง สามครั้ง แต่ลูกระเบิด ไม่ระเบิดเลยสักลูกเดียว เพราะไปตกลงในทะเลเสียหมด
เมื่อเวลาเครื่องบินมาทิ้งระเบิด หลวงพ่ออี๋ ท่านจะออกไปยืนอยู่กลางแจ้ง แล้วเพ่งมองขึ้นไปเบื้องบน กำหนดกสิณลม พัดเอาลูกระเบิดหนักเป็นตันๆ นั้น ไปตกลงในทะเล ลูกระเบิดเหล่านั้น ไม่ทำงาน เพราะเมื่อเครื่องบินฝูงใหญ่มาถึง หลวงพ่ออี๋ท่านก็เดินลงไปที่ลานวัด เอาผ้าอาบน้ำฝน ที่ท่านพาดบ่าไว้นั้น สะบัดโบกไปมา ท่านเพ่งกสิณน้ำ ไปที่ชนวน และดินระเบิด ลูกระเบิดเมื่อเปียกน้ำ ก็เหมือนลูกเหล็ก หนักๆ ลูกหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อหลวงพ่ออี๋ ยืนบริกรรมเฉยอยู่ ฝูงเครื่องบิน พอบินมาถึง ตลาดสัตหีบ ก็โปรยลูกระเบิดเปียกน้ำลงมา พอผ่านฐานทัพเรือ ก็โปรยลูกระเบิดลงมา ก็ไม่มีผล ลูกระเบิด ถูกลมหอบพัดไปตกลง กลางทะเลหมด การทิ้งระเบิดทั้งสามครั้ง ระเบิดแม้ลูกเดียวก็ไม่ทำงาน ประชาชนจึงเชื่อในปาฏิหาริย์ ของท่านยิ่งนัก ทหารเรือทั้งหลาย นอกจากจะมีความเคารพ ในหลวงปู่ศุข กรมหลวงชุมพรฯ แล้ว ก็มีหลวงพ่ออี๋ พุทธสโร อีกองค์หนึ่ง ที่เป็นที่เคารพ สักการบูชา
ปาฏิหาริย์ของ หลวงพ่ออี๋
ท่านพระครูศรีสัตคุณ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ รุ่นสุดท้าย ท่านได้เล่าให้ฟังว่า
“แต่ก่อนนี้นะโยม ชาวบ้านแถวสัตหีบนี่ ก็คือบ้านป่าที่อาศัยชายทะเล มีอาชีพการจับป่าเป็นหลักเท่านั้นแหละ ไร่สวนก็ปลูกไว้กินเอง ถนนหนทางก็มีทางเกวียน และทางเกวียนนั้นไปมาก็ลำบากมาก เพราะเป็นป่าดงพงไพร มีต้นไม้ใหญ่สูงๆ ทั้งนั้น ต้นยาง ต้นไม้แดง ต้นไม้พะยอม ละก็มาก การเดินทางไป อย่างกับชลบุรี และกรุงเทพฯนี่นะต้องไปเรือ คราวหนึ่งอาตมาต้องไปธุระที่จังหวัด ชลบุรี ก็นั่งเรือไปกับเขาด้วย พอนั่งเรือมาถึงช่วงอำเภอศรีราชานั่นเอง ทะเลเกิดคลื่นลมจัด มีพายุพัดกระหน่ำเรือ อีกทั้งฝนฟ้าก็ตกอย่างหนัก หนักเข้าเรือล่มจมน้ำ คนในเรือก็ต้องช่วยตัวเองละคราวนี้
ลูกน้ำเค็มมันเค็มจริงนะโยม สำลักน้ำทะเล ถูกคลื่นลมพายุพัด ซัดกระจายไปคนละทางสองทาง ตัวอาตมาเองต้องลอยคออยู่กลางทะเล ท่านกลางดงฉลามด้วยนะในช่วงนั้น แล้วก็จีวรกับน้ำนี่เขาพบกันได้ที่ไหน จีวรเจอน้ำเป็นกอดกันแน่น คนกลางคือตัวอาตมานี่ซี จะจมน้ำทะเลตายแหล่ มิตายแหล่ ใจก็นึกถึงหลวงพ่ออี๋ท่าน มันกลัวตายอยู่นะตอนนั้นน่ะ ในความรู้สึกเพราะใกล้จะหมดแรงจมน้ำนั้น คล้ายกับมีใครมาอุ้มพยุงตัวเอาไว” ๖ ชั่วโมงที่ลอยคออยู่ ก็ปรากฏว่ามีเรือประมงชาวศรีราชา เขาออกจากฝั่งเพราะคลื่นลมสงบหมดแล้ว เขามาพบอาตมาลอยคออยู่ ก็ช่วยไว้ได้”
ก่อนที่เจ้าของเรือประมงจะออกจากฝั่ง เขามีความรู้สึกเหมือนมีผู้มาดลใจ ตามที่เขาเล่าไว้
“ขณะที่ฉันและพรรคพวก จะนำเรือออกทะเลโน้น มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง ท่านยืนอยู่บนผิวน้ำ ฉันเป็นเจ้าของด้วย เป็นไต้ก๋งด้วย ก็สั่งลูกน้องให้ตรงไปข้างหน้า พวกลูกน้องคงไม่เห็นอย่างฉันเห็นแน่
ฉันยืนอยู่บนเสากระโดง คอยมองปลา จึงแล่นเรือเข้าไป ก็ไปพบกับหลวงพ่อพระครูเข้า ก็เลยเหมาเอาว่า ท่านต้องมีอะไรดีแน่ๆ ครั้นพอท่านส่งวัตถุนิยมของหลวงพ่ออี๋ให้เป็นรางวัล ก็เกิดศรัทธา เพราะตั้งใจมานานแล้วว่า อยากได้ แม้จะเป็นผ้าเช็ดเท้าก็จะบูชาเอาไว้”
เจ้าของเรือลำนั้น ท่านพระครูศรีสัตคุณบอกว่า
“เขาชื่อนายสง่า เป็นเจ้าของเรือ อยู่ศรีราชานี่เอง อาตมาเชื่อความบริสุทธิ์ของหลวงพ่ออี๋ท่านมาก เพราะอาตมาเคยเห็นท่านมาตั้งแต่เป็นเด็กวัด มาอยู่กับท่านตั้งแต่อายุ ๗-๘ ขวบเท่านั้น อาตมาเป็นลูกกำพร้านะ มีโยมบิดาเลี้ยงท่านก็ดีมาก ชีวิตผันเข้ามาในพระศาสนา ก็นับว่าดีแล้ว ไม่ขาดทุน ยิ่งได้มาเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ ก็ถือว่าเคยร่วมกุศลมากับท่าน ตั้งแต่อดีตชาติ มาพบกันอีก ช่วยกันอีก นี่แหละโลกนะ มันควรค่าแก่การเรียนรู้ดีแท้”
หลวงพ่ออี๋เป็นพระผู้ทรงอภิญญา เป็นที่เลื่องลือไปไกล แต่ความอัศจรรย์นี้ คนรุ่นสมัยใหม่ ไม่สู้จะเชื่อนัก ยิ่งทางด้านไสยศาสตร์ เขายิ่งไม่เชื่อเอาเสียเลย ถือว่าเป็นเรื่องล้าสมัย แต่ก็มีหลายท่าน ที่จนปัญญาจะพิสูจน์ได้ ก็ต้องยอมนับถือท่าน ท่านพระครูศรีสัตคุณ ได้เล่าให้ฟังว่า
“น่าอัศจรรย์มาก สมัยที่อาตมายังเล็กอยู่ โยมบิดาเลี้ยงของอาตมา ท่านป่วย หมอรักษาไม่ได้อีกแล้ว แต่หลวงพ่ออี๋ ท่านรักษาได้ทั้งยา และวิชาอาคมจนหายเป็นปกติ โยมบิดาก็ให้ช่างเขียนรูปหลวงพ่ออี๋ขนาดใหญ่ ไว้บูชาที่บ้าน โยมบิดานั้นท่านเคารพสุดที่จะบรรยายเลยละ ตอนนั้นเลยได้มาเป็นลูกศิษย์ ติดตามรับใช้หลวงพ่ออี๋ไปทุกแห่ง เพื่อจะได้รับใช้ท่านตามความประสงค์ ของโยมบิดา”
ธรรมะของหลวงพ่ออี๋ มีมากมาย เช่น “หลักวาจาดี มีคุณประโยชน์” ท่านไม่เคยพูดว่าใครให้แสลงหู และท่านไม่ค่อยจะพูดอะไรออกไปมากนัก เพราะวาจาที่ท่านพูดออกไป มักจะเป็นจริงดังนั้นเสมอ ท่านจึงพูดแต่คำที่เป็นสิริมงคลโดยตลอด
พลังจิตอัศจรรย์ ของหลวงพ่ออี๋นั้น พระอาจารย์แง (พระครูภาวนาโกศล) วัดเจริญสุขาราม ศิษย์ของหลวงพ่อปานเหมือนกัน ได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน (บางเหี้ย) ท่านสอนศิษย์ทุกรูปให้มีพลังจิตแก่กล้า โดยเอาพลังจิตรวมไว้ที่นัยน์ตา แล้วเพ่งออกไป ตาไม่กระพริบ ทำอย่างนั้นให้คล่องแคล่ว แล้วก็อาศัยจิตเข้าผนวกกัน เพื่อดำเนินจิตเข้าทางกสิณ คุณไสยที่ถูกส่งมา เช่น เขาส่งหนังควายเสกบินเป็นแมลง คนที่มีจิตแก่กล้าอย่างหลวงพ่ออี๋ ท่านมองเท่านั้น แผ่นหนังตก คลายสภาพทันที และถ้าท่านไม่รู้เห็น นอนหลับ เข้ามาใกล้ท่านสามวา ของเหล่านั้นจะอ่อนกำลัง กลับไปหาเจ้าของอย่างรวดเร็ว หลวงพ่ออี๋ท่านเป็นพระรุ่นพี่ ที่สามารถที่สุด ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อปาน ทำให้พวกที่ชอบเล่นไสยศาสตร์ครั่นคร้าม ไม่กล้าจะยุ่งเกี่ยว ถึงจะรู้ว่า ท่านเป็นผู้แก้ไข คุณไสยที่เขาส่งไปทำร้ายคนเจ็บ ที่ท่านรักษาให้
เมื่อท่านรักษาคนป่วยหายแล้ว ท่านก็ให้รับศีล ป้องกันการแก้แค้น แล้วก็ให้พรว่า “เอาละ ต่อไปไม่มีอะไรมา ทำร้ายได้อีกแล้ว” พระอาจารย์เล่าต่อไปว่า ตอนนั้น มีพระร่วมธุดงค์ ๖ องค์ หลวงพ่อปาน เป็นพระอาจารย์หัวหน้า ได้ไปพักอยู่ที่โน้น ใกล้เมืองเขมร เช้านั้นออกบิณฑบาต ก็มานั่งฉันกันที่ละเมาะป่า กำลังฉันกันอยู่ หลวงพ่อปานท่าน ก็ว่า “อื้อ... อื้อ... ”
พวกเราก็เงยหน้าขึ้น... งูจงอางตัวเท่ากับไผ่ตงละมั้ง มันยกตัวขึ้นสูง หลวงพ่ออี๋ท่านนั่งอยู่ตรงกับมัน แล้วก่อนที่มันจะทิ้งตัวลงฉกกัดน่ะ ท่านมองเห็นมันก่อน ท่านก็เพ่งเข้าใส่ งูจงอางตัวแข็งไปเลย พอตัวแข็งมันก็ล้มลงไปกับพื้น นอนเฉย มันไม่ตาย แต่มันทำอะไรไม่ได้ ตัวมันเหลืองเชียว เวลามันล้มน่ะ เหมือนคนล้มทั้งยืนนั้นแหละ หลวงพ่อปานท่านหัวเราะ หึหึ แล้วพูดว่า... “ใครจะขี่เล่นมันก็ไม่ว่าแล้วทีนี้”...
ด้วยอานุภาพของจิตนี้ ขณะหลวงพ่ออี๋ ท่านอยู่ในกุฏิ ทำจิตสงบเป็นอารมณ์เดียวนิ่งอยู่ ถ้าใครเข้ามาหาท่านในตอนนี้ แล้วได้ประสานสายตากับท่าน ก็เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต คนนั้นจะชาหมด เหมือนงูจงอางตัวนั้น มันเกิดพลังขึ้นโดยจิตที่เป็นสมาธิ ซึ่งท่านชำนาญ ... รวดเร็ว ในการทำสมาธิ ให้เกิดขึ้นในชั่วกระพริบตา ..
ท่านพระครูศรีสัตคุณ กล่าวว่า “ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้ใกล้ชิด ติดตามหลวงพ่ออี๋มาโดยตลอด เห็นจริยาวัตรของท่าน การดำรงชีวิต ท่านเป็นผู้เลี้ยงง่ายที่สุด เป็นพระอนาคาริก หรือผู้สละเรือน จริงๆ ท่านมิใช่พระประเภทเครื่องรางของขลังเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งอื่นหมื่นแสน ท่านยังปล่อยวางได้หมด แล้วแค่พระเครื่อง เล็กๆ น้อยๆ ท่านจะมายุ่งยากเกี่ยวรัดเอาไว้ทำไม ”
“หลวงพ่อปาน ท่านสอนให้ปล่อยวางไม่สอนให้ติดข้องกับสิ่งภายนอกก็ร่างกายของตัวเองยังไม่ติดข้อง ส่วนที่จะสงเคราะห์โลกน่ะ เป็นวิสัยของพระที่จะเมตตา ช่วยในสิ่งอันควรช่วยไม่ใช่ว่า หลับหูหลับตาช่วย ช่วยด้วยปัญญา นี่ท่านสอนอย่างนี้ ”
อำนาจแห่งพระกรรมฐาน มีการอบรมจิต ขั้นสมาธิ อภิญญาญาณ อาศัยขุมพลังของพ่อแม่ อันสำคัญคือ พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ชาวต่างชาติ ได้ประสบกับตนเอง บังเกิดศรัทธาอันแรงกล้า ถึงกับสละตนเข้าบวชในพระศาสนาเป็นจำนวนมาก ด้วยปฏิบัติเองเห็นเอง
ชาวอเมริกัน ชื่อ เทเลอร์ ยังค์ แม่เป็นคนฮาวาย พ่อเป็นทหารอเมริกัน เล่าให้ฟังว่า
“ฉันเป็นคนอเมริกัน เป็นนักบิน มีเงินเดือนหลายหมื่นบาท เป็นทหารก็ไปประจำที่เกาะโอกินาวา มาเมืองไทยสมัยสนามบินอู่ตะเภา เคยได้ไปนมัสการ หลวงพ่ออี๋ ซึ่งก็เป็นพระภิกษุ เป็นรูปปั้นธรรมดา (ตอนนั้นท่านมรณภาพแล้ว) ที่ไปไหว้ก็เพราะผู้หญิงเขาชวนไป แล้วก็ซื้อรูปของท่านมาแขวนคอด้วย เพราะเห็นว่าไม่เสียหายอะไร... น่านับถืออยู่ เพราะท่านอยู่ได้โดยไม่มีเมียได้... ”
“พวกเพื่อนๆ มันก็ถามว่า ‘แกเอารูปพระชาวพุทธมาแขวนคอทำไม ?’ ฉันเลยบอกพวกเขาไปว่า ‘พระภิกษุนี่ ท่านชื่อหลวงพ่ออี๋ เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านมีศีล ไม่มีเมียอย่างพวกแกด้วย ท่านไม่เอาอะไรทั้งนั้น ท่านเก่ง...’ เพื่อนๆ ก็พูดอีกว่า ‘เฮ้ย.. แกนับถือคริสต์ ไปเอาพระพุทธมาแขวน ไม่เอาพระเยซูมาแขวน แกผิดนะ’ ฉันก็ตอบมันไปว่า ‘ถ้าฉันผิด แกก็ต้องผิดด้วย เพราะตัวแกเอง ไปซื้อกระดูกปลา เขี้ยวหมา เขี้ยวแมว มาแขวนคอเหมือนกัน’
ทำไมฉันจึงศรัทธานัก สำหรับหลวงพ่ออี๋องค์นี้ ก็เพราะ หลังจากที่ฉันได้รับรูปของท่านแล้ว ได้ไปที่เวียตนาม ขับเครื่องบิน ก็ถูกยิงขึ้นมาอย่างหนัก คิดว่าตายแน่นอน ส่วนเครื่องสลัดระเบิดก็ไม่ทำงาน ปลดไม่ได้เสียอย่างนั้นเอง แต่ขณะที่กำลังวุ่นวายใจนั้น ก็มองเห็นพระภิกษุ ท่านนั่งอยู่ตรงข้างส่วนหัวเครื่องบิน เอามือปัดไปมาหลายครั้ง ฉันก็มาคิดว่า ตาคงไม่ฝาดแน่แล้ว จึงเกิดสงสัยว่า พระองค์นั้นไปนั่งอยู่ได้ยังไง... หรือว่าเป็นผี ขณะที่คิดอยู่นั้นท่านก็หันมาแล้วหายไป จำได้แม่นยำว่า องค์ที่ซื้อรูปท่านมานี่เอง... จึงไม่กลัวลูกปืน เพราะท่านปัดให้พ้นอันตราย มองเห็นลูกปืนวิ่งไขว่ไปมา พอถึงทะเล ก็ปลดลูกระเบิดลงทิ้งเสีย เครื่องปลดก็ดีอยู่ทำงานได้คล่องแคล่ว เลยรู้ว่า ท่านไม่ให้ทำบาปน่ะเอง”
นอกจากนี้ เขายังได้เล่าเรื่องอันน่าระทึกใจ และเขายังจดจำวันนี้ไว้ชั่วชีวิต ว่า...
“อีกคราวหนึ่ง ตอนได้กลับไปอยู่บ้าน เพราะได้พักผ่อน สิทธิพิเศษนี้ จะได้ก็เป็นนายทหารเท่านั้น วันหนึ่งขับรถไปตามถนน ก็พบกับอุบัติเหตุเข้า รถเทรลเลอร์คันโต วิ่งสวนมาปิดทางหมดเลย หลบไม่ได้ เราเบรคแล้ว แต่เขาไม่เบรค เลยทำให้ปะทะกันอย่างแรง รู้สึกตัวเฮือกสุดท้ายว่า หลวงพ่อท่านมาอุ้มออกไปนอกรถ ท่านวางไว้ข้างๆ ต้นไม้ แล้วลูบหัว สอง-สามครั้ง ท่านก็ยิ้มให้ ฉันต้องนอนสลบอยู่อาทิตย์เต็มเลยทีเดียว พอฟื้นขึ้นมา ก็ต้องตกใจ เพราะหารูปของหลวงพ่อไม่พบ พอสอบถามหา เขาก็บอกว่า.. เอาไปทิ้งแล้ว เพราะเห็นว่าเปื้อนเลือด แม้แต่เสื้อผ้า เขาก็ทิ้งไปพร้อมๆ กัน ฉันเศร้าใจ และเสียใจมาก เมื่อหายจากเจ็บป่วย ซึ่งก็เล็กน้อย เนื้อตัวไม่เป็นอะไรมากนักหรอก เนื้อตัวบาดเจ็บนิดหน่อย แต่แรงปะทะมันมาก แล้วก็พอสอบถาม ได้ความว่า ไปนอนอยู่ข้างต้นไม้จริงๆ สภาพรถนั้นเละ แต่ตัวไม่เป็นไร พากันอัศจรรย์ในเหตุการณ์ ครั้งนั้นเป็นอันมาก เมื่อได้มาเมืองไทยอีกครั้ง ก็ได้มากราบท่านอีก และได้ยื่นหัวไปตรง เท้า-มือ ให้ท่านลูบอีกครั้งหนึ่ง... ซื้อรูปของท่านหลายรูป และมีรูปเป็นโลหะด้วย (เหรียญ) เคยกำชับบอกลูกสาว และลูกชายว่า “นอกจากพ่อแม่นี้แล้ว เธอต้องเคารพรัก หลวงพ่ออี๋ เมืองไทยด้วย ตลอดชีวิต” ลูกๆ พากันเรียกท่านว่า “คุณพ่ออี๋ ไทยแลนด์” ... ”
ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ย่อมเป็นไปโดยปกติของมนุษย์ หลีกหลบไม่ได้เลย แม้แต่คนเดียว หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านก็หนีกฎแห่งความจริงนี้ไปมิได้ ข่าวการอาพาธของท่าน ทำให้ลูกศิษย์ ต่างก็ทยอยมากราบ นมัสการ เยี่ยมเยือนอาการเจ็บป่วยของท่านทุกวัน แต่ท่านมิได้แสดงอาการ ทุกขเวทนาให้เห็น ท่านยังได้สอนธรรมะอีกว่า
“จิตไม่มีอาการ เจ็บ ปวด สภาพที่เราไปฝังจิตใจไว้เป็นอุปาทาน เราต้องเป็นคนฉลาด.. เอาเวทนาออกไปจากใจให้ได้ เมื่อนั้นสบายดีแท้ ”
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ได้จัดเวรยาม ผลัดกันเฝ้าพยาบาลท่าน ๔ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้สั่ง พระภิกษุจำเนียร พระหลานชาย ให้อุ้มท่านลุกขึ้นยืน และเปลี่ยนผ้าจีวรใหม่ แล้วก็นำท่านมานั่งบนอาสนะ และห้ามไม่ให้ใครถูกตัวท่าน ท่านนั่งอยู่เป็นเวลานาน พระจำเนียรเกิดความเป็นห่วง จึงเข้าไปดู เห็นมีหนองไหล ออกมาทางปาก จึงถามท่านว่า “หลวงพ่อ ทำไมมีหนองไหลออกมาทางปาก” ท่านตอบว่า “ต้องการใช้หนี้เวรมัน”
จากนั้นท่านก็สงบระงับ ไม่มีอาการใดๆ เลย ศิษย์มองเห็นอาการแน่นิ่ง ผิดปกติ แต่เพราะถือคำสั่งว่า “ไม่ให้ถูกตัวท่าน” จนกระทั่ง กระดานพื้นที่ท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ นั้น เกิดพลิกขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ตอกตะปูไว้แน่น และกรอบรูปพระที่แขวนไว้ข้างฝา ก็หลุดลงมาแตกกระจาย ลูกศิษย์ท่านหนึ่งจึงเข้าไปจับชีพจรท่าน แล้วโพล่งว่า “หลวงพ่อดับเสียแล้ว” หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ผู้บังเกิดมาดับทุกข์ร้อน ให้แก่ชาวอำเภอสัตหีบ ได้อำลาโลกไปแล้ว รวมสิริอายุได้ ๘๒ ปีเศษ ...
หลวงพ่ออี๋ เป็นพระสมณะ ที่ได้มอบกาย ถวายชีวิตนี้ ไว้แก่พระพุทธศาสนาแล้ว ท่านพึงพอใจที่จะมีชีวิตอย่างสันโดษ มีสมบัติติดกายเพียงผ้าสามผืน จิตสงบวิเวกเป็นสมถะธรรม ท่านกลายเป็นพระที่ “มีเหมือนไม่มี ” ดังพระอาจารย์ หลายๆ ท่านเช่น หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร หลวงพ่อ มหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีฯ) หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงพ่อจรัล ฐิตปุญโญ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ เป็นผู้สั่งสมบารมีมานาน จึงเป็นผู้ “มีเหมือนไม่มี” แล้ว “ไม่มีเหมือนกับมี” เงินทองก็หลั่งไหลเข้ามา มากมาย แต่ท่านไม่เคยยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น เมื่อท่านเห็นว่า สิ่งอันใดควรจะสร้าง ท่านก็อนุญาต ให้สร้างถาวรวัตถุ ทำความเจริญรุ่งเรืองแก่ สถานที่นั้น แม้สถานที่นั้นจะอยู่ในป่าในดง ก็เจริญขึ้นมากมาย สำหรับหลวงพ่ออี๋ เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ศิษย์เกรงว่าจะไม่มีเงินทำศพของท่าน เพราะไปดูกระเป๋าพระ (ย่าม) มีแต่ผ้ากราบ และผ้าเช็ดหน้า-ปาก ผ้ารองนั่งเท่านั้น เงินไม่มีเลย แต่เมื่อตรวจดู ตามภาชนะเก่าๆ บ้าง ใต้ถาด ใต้พานดอกไม้ ที่ลูกศิษย์มาทำบุญกับท่านบ้าง ได้พบเงินที่เสียบไว้กับสิ่งต่างๆ รวมได้ถึง ๒๐,๐๐๐ บาทเศษ หลวงพ่ออี๋ท่านมิได้ถือ ว่าเป็นของท่าน ใครมาวางไว้ที่ใด ก็อยู่ตรงนั้น ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันมรณภาพ นี่คือชีวิตของท่านผู้ทรงคุณ ซึ่งดำรงชีวิต อย่างสมณะโดยแท้จริง
แผนที่เส้นทางไปสักการะหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ